วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ประวัติบุญกฐิน

คำว่า”กฐิน” เป็นชื่อของสังฆกรรมชนิดหนึ่งในพระพุทธศาสนา ที่ใช้พระสงฆ์เป็นพยานในการทำ๕รูปเป็นอยางน้อย คือ ๕ รูปเป็นองค์สงฆ์หรือพยาน และอีก ๑ รูปเป็นองค์ครองผ้ากฐิน
นอกจากนี้คำว่า”กฐิน”เป็นชื่อของไม้ชนิดหนึ่งซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ขึงในเวลาเย็บจีวร ภาษาไทย เรียกว่า”ไม้สะดึง”ภาษาบาลีใช้คำว่า”กฐิน”ขณะเดียวกันภาษาไทยได้ยืมภาษาบาลีมาเป็นภาษาของตัวเองโดยเรียกทับศัพท์ไปเลยว่า ผ้ากฐินหรือบุญกระฐิน
บุญกฐิน ทีกำหนดทำกันในระหว่างวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ สำหรับจุดประสงค์หลักของการทำบุญกฐินนั้น เพื่อที่จะให้พระภิกษุสงฆ์ที่จำพรรษาแล้วได้ มีผ้าผลัดเปลี่ยนใหม่โดยได้มีมูลเหตุของบุญกฐินปรากฏในกฐินขันธะแห่งพระวินัยปิฎก และฏีกาสมันตปาสาทิกา ไว้ว่า สมัยหนึ่ง ได้มีพระภิกษุชาวเมืองปาฐาจำนวน ๓๐ รูป พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ พระเซตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี ขณะนั้นวันจำพรรษาได้ใกล้เข้ามา พวกภิกษุเหล่านั้นจึงได้พากันจำพรรษาที่เมืองพระเซตะวันมหาวิหารตลอดระยะเวลา ๓ เดือนที่จำพรรษาภิกษุเหล่านั้น มีความตั้งใจอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องไปเฝ้าพระพุทธเจ้าให้ได้ ครั้นพอออกพรรษาแล้วจึงพากันออกเดินทางกรำฝนทนแดดร้อนไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ขณะฤดูฝนยังไม่ทันจะล่วงสนิท ทำให้ภิกษุชาวเมืองปาฐาเหล่านั้น มีจีวรเปียกชุ่ม และเปื้อนด้วยโคลนตม พอไปถึงเขตวันมหาวิหารได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงเห็นใจในความยากลำบากของภิกษุเหล่านั้นจึงอนุญาตให้หาผ้ากฐินหรือผ้าที่เย็บด้วยไม้สะดึง มาใช้เปลี่ยนแทนผ้าเก่า ฝ่ายนางวิสาขา มหาอุบาสิกา เมื่อได้ทราบถึงพุทธประสงค์แล้ว นางก็ได้นำผ้ากฐินไปถวายแด่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประทาน และนางได้เป็นคนแรกที่ได้ถวายผ้ากฐินในพระพุทธศาสนา
การทำผ้ากฐินต้องทำให้แล้วเสร็จภายในวันเดียว จึงเป็นที่มาของ กฐินสามัคคี เนื่องจากต้องรวบรวมผู้คนในหมู่บ้านมาช่วยกันเย็บผ้ากฐินให้แล้วเสร็จ
#สนามม้านิวส์

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2561

กรมอุตุฯประกาศ อุณหภูมิลดฮวบ กรมอุตุฯ เผยอีสานเย็นลง-ลมแรง ใต้ยังเจอฝน

ในช่วงวันที่ 30 ต.ค.-2 พ.ย. 61 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีนอีกระลอกจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นกับมีลมแรง อุณหภูมิลดลง 3-5 องศาเซลเซียส
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศเย็นในตอนเช้ากับมีลมแรง อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศา สำหรับบริเวณยอดภูมีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-12 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 21-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 ก.ม./ช.ม.


วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ทำไมเวลาโดนงูกัด หมอจึงต้องให้รอ?

งูพิษ ในปัจจุบัน เราสามารถแยกตามการทำงานของพิษได้ 3 ระบบหลักๆ คือ
1.พิษทำลายระบบประสาทเป็นหลัก ได้แก่ งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา เป็นต้น พิษมีผลทำให้เกิดการเป็นอัมพาตของอวัยวะ และทำให้เกิดอาการหัวใจวาย จนเสียชีวิต
2.พิษทำลายระบบเลือดเป็นหลัก ได้แก่ งูกะปะ งูแมวเซา งูเขียวหางไหม้ เป็นต้น พิษมีผลทำให้ เกิดอาการ ปวดอย่างรุนแรง บวม และเลือดไหลไม่หยุด
3.พิษทำลายระบบกล้ามเนื้อ ได้แก่ กลุ่มงูทะเลทั้งหลาย พิษมีผลทำให้เกิดไตวาย(ไม่มีเซรุ่ม รักษาตามอาการอย่างเดียว)
คราวนี้ในเมื่อพิษมีการทำงานที่ต่างกัน เซรุ่มที่ใช้ก็ต้องต่างกัน ปัจจุบันเรามีเซรุ่มงูอยู่ 7ชนิด และเซรุ่มรวมอีก 2 ประเภท แพทย์จำเป็นต้องรู้ชนิดงูที่แท้จริง ว่าเป็นงูชนิดใดกัด ถึงจะสามารถให้เซรุ่มได้ถูกต้อง
การให้เซรุ่ม ไม่เหมือนกินพาราเซตามอล เพราะถ้าให้เซรุ่มผิด นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว หากผู้ป่วยมีอาการแพ้เซรุ่ม อาการอาจจะยิ่งหนักขึ้นไปใหญ่ ดังนั้นทุกอย่าง จึงต้องมีขั้นตอนในการรักษาด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง
ในมาตรการในการรักษาของแพทย์จะต้องมีวิธีในการรักษาผู้ป่วยที่ถูกงูกัดดังนี้
1.ตรวจสอบอาการของผู้ป่วย และจำแนกชนิดงูที่กัดให้ชัดเจน
2.ทำการตรวจเช็คผลการทำงานของพิษในกระแสเลือด เนื่องจากมีบ่อยครั้ง ที่งูพิษกัดผู้ป่วยแล้วไม่ยอมปล่อยพิษ (กัดแห้ง) ถ้าเป็นในลักษณะนี้แพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาอีกแบบ โดยอาจไม่ต้องให้เซรุ่ม
3.หากผลการทดสอบยืนยันชัดเจนว่ามีการทำงานของพิษ และผู้ป่วยมีลักษณะอาการของพิษ และสามารถจำแนกชนิดงูได้ชัดเจน แพทย์จึงจะพิจาณาการรักษาโดยการให้เซรุ่มตามความเหมาะสมในทันที
4.หากชนิดงูที่กัด ถูกยืนยันว่ามีพิษ แต่ไม่มีอาการของพิษแสดงออกมา แต่แพทย์อาจมีความจำเป็นที่จะต้องรอดูอาการอีก 24-48 ชั่วโมง เพื่อความมั่นใจในความปลอดภัยของผู้ป่วย ทั้งนี้แล้วแต่ดุลยพินิจของแพทย์
ดังนั้นถ้าเราเข้าใจ สิ่งที่เราจะทำให้กระบวนการเหล่านี้ใช้เวลาน้อยลงได้ คือ การถ่ายภาพที่ชัดเจนของงูที่กัด หรือ นำงูที่กัดมาสถานพยาบาลด้วย ตั้งสติเล่าเหตุการณ์และอาการในปัจจุบันให้แพทย์ฟังอย่างชัดเจน และการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องเมื่อถูกงูกัด ก็จะช่วยยืดเวลาชีวิตของเราได้หลายชั่วโมงเลยทีเดียว เมื่อทราบกันแล้ว ขอให้ทุกคนอยู่กันด้วยความเข้าใจและปลอดภัยครับ

อยู่ต่อ...จนตายกันไปข้าง!

คุณปรีชา ชัยรัตน์ เจ้าของสนามม้าอุดรฯ ประกาศท่ามกลางสื่อมวลชน เจ้าของม้า เทรนเนอร์ จ๊อกกี้ คนเลี้ยงม้าและผู้เกี่ยวข้องม้าแข่งในวันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม 2561 เวลาประมาณ 10:30น "ให้มีการแข่งม้าต่อไปจนกว่าจะตายไปข้างหนึ่ง แต่ต้องมีแข่ง 7เที่ยวขึ้นไป

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2561

อัพเดตผลงาน สนามม้า นิวส์ ผ่านทางวีดิโอ

ขอเชิญชวนร่วมเป็นกำลังใจให้

ขอเชิญชวน พี่น้องชาวอุดรธานีร่วมเป็นกำลังใจให้กับ
นวลจันทร์ พลศิลา นักกีฬาบล็อกเซียร์ คนพิการทีมชาติไทย หนึ่งเดียวจากอุดรธานี ในการแข่งขัน เอเชียนพาราเกมส์.
ที่อินโดนีเซีย

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2561

การพัฒนาระบบสารสนเทศ

การพัฒนาระบบสารสนเทศ


ความจำเป็นในการพัฒนาระบบสารสนเทศ

            1.  การเปลี่ยนแปลงกระบวนการบริหารและการปฏิบัติงาน  ระบบเดิมไม่สามารถให้ข้อมูลหรือทำงานได้ตามต้องการมีการดำเนินงานหลายขั้นตอน  ยุ่งยากในการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาจัดทำข้อมูลสรุปสำหรับการติดตามการปฏิบัติงานโดยรวมขององค์การ  และไม่สามารถสนับสนุนข้อมูลให้กับผู้บริหารได้เป็นอย่างดี

            2.  การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี  เทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในระบบสารสนเทศปัจจุบันล้าสมัย  ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระบบมีราคาสูง  เมื่อมีอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนบางอย่างเสียไม่สามารถซ่อมหรือหาอุปกรณ์ทดแทนได้

            3.  การปรับองค์การและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน  ระบบที่ใช้งานอยู่ปัจจุบันมีขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อนขาดเอกสารอ้างอิงหรือเอกสารที่มีอยู่ไม่ได้มาตรฐาน

ทีมงานพัฒนาระบบ

            1.  คณะกรรมการ (Steering Committee)

            2.  ผู้บริหารโครงการ (Project Manager)

            3.  ผู้บริหารหน่วยงานด้านสารสนเทศ (MIS Manager)

            4.  นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)

            5.  ผู้ชำนาญการทางด้านเทคนิค

            6.  ผู้ใช้และผู้จัดการทั่วไป (User and Manager)

หลักในการ   พัฒนาระบบสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพ

1)  คำนึงถึงเจ้าของและผู้ใช้ระบบ

2)  เข้าถึงปัญหาให้ตรงจุด ซึ่งมีแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นระบบมีขั้นตอนดังนี้

-  ศึกษาทำความเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้น
-  รวบรวมและกำหนดความต้องการ
-  หาวิธีการแก้ปัญหาหลายๆ วิธีและเลือกวิธีที่ดีที่สุด
-  ออกแบบและทำการแก้ปัญหาตามวิธีที่เลือก
-  สังเกตและประเมินผลกระทบจากวิธีแก้ปัญหาที่นำมาใช้และปรับปรุงวิธีการให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

3)  กำหนดขั้นตอนหรือกิจกรรมในการพัฒนาระบบ

4)  กำหนดมาตรฐานในการพัฒนาระบบ

5)  ตระหนักว่าการพัฒนาระบบเป็นการลงทุนประเภทหนึ่ง

6)  เตรียมความพร้อมหากจะต้องยกเลิกหรือทบทวนระบบสารสนเทศที่กำลังพัฒนา

7)  แตกระบบสารสนเทศที่จะพัฒนาออกเป็นระบบย่อย

8)  ออกแบบระบบให้สามารถรองรับต่อการขยายหรือการปรับเปลี่ยนในอนาคต


ขั้นตอนในการพัฒนาระบบสารสนเทศ

-  การกำหนดและเลือกโครงการ (System Identification and Selection)
-  การเริ่มต้นและวางแผนโครงการ (System Initiation and Planning)
-  การวิเคราะห์ระบบ (System Analysis)
-  การออกแบบระบบ (System Design)
-  การพัฒนาและติดตั้งระบบ (System Implementation)
-   การบำรุงรักษาระบบ (System Maintenance)

วงจรการพัฒนาระบบ

            1. การกำหนดและเลือกสรรโครงการ (System Identification and Selection) จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่ในการพิจารณาโครงการ จัดกลุ่ม จัดลำดับความสำคัญและเลือกโครงการที่เหมาะสม

            2.   การเริ่มต้นและวางแผนโครงการ (System Initiation and Planning) เมื่อโครงการได้รับอนุมัติก็จัดตั้งทีมงานกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบ กำหนดคุณสมบัติและขอบเขตของโอกาสทางธุรกิจหรือปัญหาอย่างชัดเจน โดยการสำรวจเบื้องต้น หรืออาจเรียกว่า การศึกษาความเป็นไปและได้ความพร้อมในด้านต่างๆ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะจะมีผลกระทบต่อเนื่องกับกระบวนการพัฒนาระบบต่อไปทั้งหมด
              
              3.   การวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) มีจุดมุ่งหมาย คือ ความเข้าใจ ความต้องการธุรกิจและการสร้างแบบจำลองเชิงตรรกะของระบบใหม่ ขั้นแรกคือการกำหนดรูปแบบความต้องการ ให้คำจำกัดความและบรรยายถึงการประมวลผลธุรกิจ การกำหนดรูปแบบความต้องการจะเกี่ยวเนื่องกับการสังเกตการณ์ในระยะของการวางแผนระบบและเกี่ยวข้องกับเทคนิคในการค้นหาความจริง ภารกิจถัดไป คือการสร้างแบบจำลองข้อมูล แบบจำลองการประมวลผล และแบบจำลองวัตถุ เพื่อพัฒนาจัดทำแบบจำลองทางตรรกะของกระบวนการทางธุรกิจ

            4.  การออกแบบระบบ (System Design) มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบระบบให้เข้ากับตามความต้องการของระบบใหม่ตามที่ได้มีการวิเคราะห์ไว้ กำหนดสิ่งที่จำเป็น เช่น อินพุท เอ้าท์พุท ส่วนต่อประสานผู้ใช้ และการประมวลผล เพื่อประกัน  ความน่าเชื่อถือ ความถูกต้องแม่นยำ การบำรุงรักษาได้ และความปลอดภัยของระบบ

           5.   การดำเนินการระบบ (System Implementation) มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้าง
และติดตั้งระบบซึ่งมีกิจกรรมดังนี้  จัดซื้อหรือจัดหาฮาร์ดแวร์ เขียนโปรแกรมโดยโปรแกรมเมอร์ ทำการทดสอบ จัดทำเอกสารระบบ การถ่ายโอนระบบงานและฝึกอบรมผู้ใช้ระบบ

            6.   การบำรุงรักษาระบบ (System Maintenance) เป็นขั้นตอนการดูแลระบบเพื่อให้ระบบมีประสิทธิภาพในการทำงาน  อาจอยู่ในรูปของการแก้ไขข้อผิดพลาดของโปรแกรม การปรับปรุงหรือแก้ไขโปรแกรมให้รองรับกับความต้องการใหม่ๆที่เพิ่มขึ้นของผู้ใช้ระบบหรือเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบ

วิธีการพัฒนาระบบสารสนเทศ

1) การพัฒนาระบบงานแบบดั้งเดิม (Traditional SDLC Methodology) เป็นการพัฒนาระบบสารสนเทศตามวงจรการพัฒนาระบบที่มีขั้นตอนที่แน่นอน วิธีนี้เป็นวิธีเก่าแก่ที่สุดและนิยมเรียกย่อๆ ว่า SDLC

2) การสร้างต้นแบบ (Prototyping) เป็นการสร้างระบบต้นแบบขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้ทดลองใช้งานซึ่งนอกจากผู้ใช้จะได้แนวคิดเกี่ยวกับสารสนเทศที่ต้องการแล้วยังช่วยให้มองเห็นภาพของระบบที่จะพัฒนาได้ชัดเจนขึ้น

การพัฒนาระบบโดยใช้ต้นแบบแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน

ขั้นที่ 1 :  ระบุความต้องการเบื้องต้นของผู้ใช้

ขั้นที่ 2 :  พัฒนาต้นแบบเริ่มแรก

ขั้นที่ 3 :  นำต้นแบบมาใช้

ขั้นที่ 4 :  ปรับปรุงแก้ไขต้นแบบ

3)  การพัฒนาระบบโดยผู้ใช้ (End-user Development)

4) การใช้บริการจากแหล่งภายนอก (Outsourcing) เนื่องจากองค์การไม่มีบุคลากรที่มีทักษะความชำนาญ การจ้างหน่วยงานหรือบริษัทภายนอกที่มีความชำนาญด้านนี้มาทำการพัฒนาระบบให้ ซึ่งการทำสัญญาจ้างให้หน่วยงานภายนอกมาทำงานเกี่ยวกับการดำเนินงานของฝ่ายคอมพิวเตอร์นี้เรียกว่าIT Outsourcing ในที่นี้จะเรียกสั้นๆ ว่า Outsourcing

5)  การใช้ซอฟแวร์สำเร็จรูปประยุกต์ (Application Software Package) เป็นทางเลือกหนึ่งในการพัฒนา เช่น ระบบงานเงินเดือน ระบบบัญชีลูกหนี้ หรือระบบควบคุมสินค้าคลคลัง หากซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสามารถสนองต่อความต้องการระบบงานขององค์การได้ องค์การก็ไม่จำเป็นต้องพัฒนาขึ้นเอง เนื่องจากโปรแกรมสำเร็จรูปได้รับการออกแบบและผ่านการทดสอบแล้ว จึงช่วยลดค่าใช่จ่ายและเวลาในการพัฒนาระบบใหม่และยังช่วยให้การทดสอบ การติดตั้ง และการบำรุงรักษาระบบเป็นไปได้ง่ายขึ้น

การพัฒนาระบบแบบออบเจ็กต์ (Object-Oriented Methodology)

  ประกอบด้วยกลุ่มของวัตถุ (Class of Objects) ซึ่งทำงานร่วมกัน มีการจัดกลุ่มของข้อมูลและพฤติกรรมหรือฟังก์ชันที่กระทำกับข้อมูลนั้นเป็นกลุ่มๆ ในรูปของออบเจ็กต์ เนื่องจากออบเจ็กต์มีคุณสมบัติในการนำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Reusability)         การพัฒนาโปรแกรมแบบออบเจ็กต์จึงใช้เวลาในการพัฒนาน้อยกว่าวิธีอื่น การพัฒนาระบบงานประยุกต์แบบรวดเร็ว (Rapid Application Development)เป็นขั้นตอนในการพัฒนาระบบที่ใช้ระยะเวลาในการพัฒนารวดเร็วกว่าและคุณภาพดีกว่าวิธีพัฒนาระบบงานแบบดั้งเดิมโดยมีการนำเครื่องมือซอฟต์แวร์มาช่วยในการพัฒนาระบบซึ่งมีขั้นตอนในการพัฒนาระบบอยู่ 4 ขั้นตอนคือ

1)  การกำหนดความต้องการ

2)  การออกแบบโดยผู้ใช้

3)  การสร้างระบบ

4)  การเปลี่ยนระบบหรือใช้ระบบ

                    ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาระบบสารสนเทศให้ประสบความสำเร็จ

1)  การสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร

2)  การกำหนดขอบเขตและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน

3)  ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ของทีมพัฒนาระบบ

4)  การเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม

5)  การบริหารโครงการพัฒนาระบบสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

ปั่นอิ่มอุ่น อุดร 3 ใจเกินร้อย

นายก อบจ.อุดร ร่วมงาน ปั่นอิ่มอุ่น อุดร 3 ใจเกินร้อย
นายวิเชียร ขาวขำ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ร่วมงาน ปั่นอิ่มอุ่น อุดร 3 ใจเกินร้อย ซึ่งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 3 ร่วมกับ ชมรมจักรยานเสืออุดร 3 จัดขึ้น
โดยมี นายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เป็นประธานในพิธี
วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสุขภาพ ให้ตระหนักถึงประโยชน์ของการออกกำลังกาย พร้อมทั้งเป็นกิจกรรมที่ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม
เส้นทาง เริ่มปล่อยตัวที่โรงเรียนหนองหาน-กุมภวาปี-บ้านกุงเจริญ-บ้านโพนสูง-บ้านหนองแวง-หนองเม็ก-กลับมาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต3





การวางแผนกลยุทธ์

ส่วนประกอบต่างๆในตัวแบบของการวางแผนกลยุทธ์



1. ภารกิจ (Mission) : นำเสนอข่าวสารในแบบฉบับของเราให้ประชาชนได้รู้

2. โครงร่างของบริษัท (Company profile)








3.การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก
จุดแข็ง = เรามีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนในการทำข่าวเพื่อใช่ในการลงเพจ บล็อก facebook  ทวิตเตอร์ รวมถึงช่องยูทูปด้วย
จุดอ่อน = มีอุปกรณ์ที่ไม่เพียงพอ ต่อการทำงาน เช่น กล้องที่ยังไม่ได้คุณภาพ
อุปสรรค = มีคู่แข่งเพจเยอะ
โอกาศ = เราเป็นกลุ่มแรกๆที่เริ่มทำเพจในชุมชน
4.การวิเคราะห์กลยุทธ์และทางเลือกของกลยุทธ์ คือ การมีการเพจ บล็อก facebook 
ทวิตเตอร์ ช่องยูทูป
5.วัตถุประสงค์  เพื่อนำเสนอข่าวสารในชุมชนหรือสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นในชุมชนต่อประชาชนได้ทราบ
6.แผน(Plans)
กิจกรรม
ระยะเวลา
ก.ย
ต.ค
พ.ย
ผู้รับผิดชอบ
1.วางแผนทำข่าว
      ➡️➡️➡️➡️➡️➡️➡️➡️➡️➡️
เจ้าของเพจ
2.ตรวจสอบแหล่งข่าวและที่มา

      ➡️➡️➡️➡️➡️➡️➡️➡️➡️➡️
เจ้าของเพจ
3.โพสต์ข่าวลง เพจ บล็อก ทวิต

      ➡️➡️➡️➡️➡️➡️➡️➡️➡️➡️
เจ้าของเพจ
4.พัฒนาเพจและบล็อกให้ดีมากยิ่งขึ้น

      ➡️➡️➡️➡️➡️➡️➡️➡️➡️➡️
เจ้าของเพจ

7.นโยบาย(Policiesข่าวที่อัพลงในเพจนั้นเราจะอัพลงทุกอาทิตย์ เพื่อแจ้งข่าวสารต่าง ๆ ให้คนในพื้นที่ได้ทราบข้อมูลหรือกิจกรรมต่าง ๆ ภายในชุมชนของเราเอง
8.การปฏิบัติตามกลยุทธ์ การปฏิบัติโดยยึดตามแผนที่วางไว้ พร้อมปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม
สนามม้า นิวส์ มีบุญมาบอกจ้า
🚑หน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ประจำเดือนตุลาคม 2561ของ โรงพยาบาลอุดรธานี
สะดวกที่ไหน ก็บริจาคโลหิตได้ แล้วเจอกันนะคะ
💪 เตรียมสุขภาพให้พร้อม
😴 นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
🍛 รับประทานอาหารให้ครบมื้อ
🍖 หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง เช่น ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่
💊 ไม่อยู่ในระหว่างทานยาปฏิชีวนะ😷 เพื่อโลหิตที่ดีมีคุณภาพ
🥛 ดื่มน้ำ 3 - 4 แก้ว ก่อนบริจาคโลหิต 30 นาที ทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น ช่วยลดภาวะการเป็นลม
#บริจาคโลหิต ด้วยหัวใจ หนึ่งคนให้ สามคนรับ
#การบริจาคโลหิตเป็นเรื่องจำเป็น

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2561

ย้อนรอย ‘คุณทองโบราณ’ หมาศักดิ์สิทธิ์ยุคบ้านเชียงอายุ 3,000 ปี ชื่อพระราชทานจาก ร.9

    ที่มาของ“คุณทองโบราณ”เป็นโครงกระดูกสุนัขสภาพสมบูรณ์เต็มตัวที่ขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงมรดกโลก ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2546 บริเวณพิพิธภัณฑ์เปิดวัดโพธิ์ศรี ต.บ้านเชียง อ.หนองหาน จ.อุดรธานีบ่งบอกว่าชาวบ้านเชียงในอดีตได้เลี้ยงสุนัขไว้เป็นเพื่อนหรือใช้งานแล้วต่อมา พญ.คุณหญิงอัมพร สุคนธมาน พร้อมด้วย นสพ.นพกฤษณ์ จันทิก ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและนำตัวอย่าง“กราม”ไปให้ทอดพระเนตร ซึ่งทรงตรัสให้นำกลับไปเก็บรักษาไว้และพระราชทานนามว่า “คุณทองโบราณ” 
    จังหวัดอุดรธานีได้เห็นถึงความสำคัญ ของโครงกระดูกสุนัขคุณทองโบราณ จึงได้ดัดแปลงให้เป็นมาสคอต ประจำจังหวัดอุดรธานี เพื่อเป็นตัวแทนการท่องเที่ยว และภาพลักษณ์ของจังหวัดอุดรธานี โดยได้เชิญชวนให้ส่งผลงานเข้าประกวด และได้คัดเลือกผลงานของนายอนิรุทธ์ เอมอิ่ม ที่คุณทองโบราณมีจุดเด่น สวมกางเกงรูปทรงไหบ้านเชียง แทนแหล่งอารยะธรรมที่มีคุณค่าของอุดรธานี  สวมผ้าพันคอจากผ้ามัดหมี่ย้อมคราม แทนหัตถกรรมทอผ้าที่เป็นที่รู้จัก และใบหน้ายังบงบอกถึงความน่ารัก และเป็นมิตร

ที่มา : https://www.posttoday.com/social/local/517570


วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

งูอะไร? ทำไมพิษถึงรุนแรงขนาดนี้

อย่าเพิ่งตื่นตระหนกเรื่องของงูชนิดนี้
ตอนนี้ก็ได้มีการแชร์ภาพของงูชนิดหนึ่ง ที่กัดคนจนเกิดอาการเนื้อตายจนต้องตัดนิ้วทิ้งไป ความน่ากลัวของภาพได้ทำให้เกิดความวิตกกังวล และมีความเข้าใจผิดว่างูในภาพเป็นงูกะปะ หรืองูแมวเซา
ความจริงแล้วมันคืองู Chinese moccasin ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า (Deinagkistrodon acutus) ชุดภาพนี้ถูกแชร์มาตั้งแต่ปี 2017 และได้มีการสร้างความเข้าใจกันไปแล้ว
เท่าที่สืบทราบมา ภาพดังกล่าวถูกแชร์ออกมาเพื่อให้เห็นผลของพิษงู ที่ไม่ได้รับการรักษาแบบทันท่วงที และพิษของงูชนิดนี้มีผลทำลายเนื้อเยื่ออย่างรุนแรง ถึงขั้นเกิดอาการเนื้อตายจนต้องตัดนิ้วทิ้ง
งูชนิดนี้เป็นงูที่มีถิ่นแพร่กระจายอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน ไต้หวัน ทางตอนเหนือของเวียดนาม และอาจจะเจอในลาว แต่ไม่มีรายงานการพบในประเทศไทย ไม่มีชื่อภาษาไทย งูชนิดนี้ยาวได้ 1-1.5 เมตร เป็นงูอยู่ในครอบครัว Viper ที่จะมีลักษณะเด่นคือ มีเขียวยาวเป็นบานพับ
ในปัจจุบันก็มีการแชร์ชุดภาพนี้ซ้ำอีกครั้งและเกิดความสับสนกันพอสมควร เราจึงมาอธิบายอีกครั้ง ให้เข้าใจและหายวิตกกังวลกันว่ามันไม่ใช่งูกะปะ หรืองูแมวเซา และยังไม่มีรายงานการพบตัวในประเทศไทยแต่อย่างไร
อย่างไรก็ตามผมและเพื่อนๆก็พยายามจะให้ข้อมูลข้อเท็จจริงกับสังคม จะได้ไม่สร้างความแตกตื่น หรือเกิดความเข้าใจผิดกันมากไปกว่านี้
...ตอนนี้ก็ลุ้นเพียงแค่ว่า เรื่องจริงจะน่าสนใจแชร์ เท่ากับเรื่องไม่จริงหรือเปล่า รอลุ้นไป
Cr.Nick Chomngam
งู Chinese moccasin และผลจากพิษของมัน
งูแมวเซา


งูกะปะ 

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2561

ฮีตสิบสอง คองสิบสี่




เดือนนี้เป็นบุญเดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน
ประเพณีบุญข้าวประดับดิน บุญเดือนเก้า เป็นอีกหนึ่งประเพณีที่สืบทอดกันมาในภาคอีสาน โดยบุญข้าวประดับดิน เป็นงานประเพณีที่ถูกจัดขึ้นในวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า ของทุก ๆ ปี
ทั้งนี้ในการทำบุญข้าวประดับดินนั้น ชาวบ้านจะนำข้าวปลา อาหาร คาวหวาน ผลไม้ หมาก พลู บุหรี่ มาห่อด้วยใบตอง และทำเป็นห่อเล็ก ๆ ก่อนจะนำไปวางตามโคนต้นไม้ใหญ่หรือตามพื้นดินบริเวณรอบ ๆ เจดีย์ หรือโบสถ์ โดยการทำบุญข้าวประดับดินนี้ ชาวบ้านเชื่อว่า เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว รวมถึงอุทิศส่วนกุศลให้กับสัตว์นรก หรือเปรต

          นอกจากนี้ บุญข้าวประดับดิน ยังถือว่าเป็นการให้ทานแก่ผู้ยากไร้รวมทั้งสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของ ที่ต้องหิว อดมื้อกินมื้อมาตลอดทั้งปีอีกด้วย เพราะการที่ตั้งอาหารไว้ที่พื้นทำให้สัตว์เหล่านั้นสามารถเข้ามากินอาหารได้อย่างเต็มที่
          ความเป็นมาบุญข้าวประดับดิน

          การทำบุญข้าวประดับดินนี้ เกิดจากความเชื่อตามนิทานธรรมบทว่า ญาติของพระเจ้าพิมพิสาร ได้ยักยอกเงินวัดไปเป็นของตนเอง ครั้นตายไปแล้วได้ไปเกิดเป็นเปรตในนรก และเมื่อพระเจ้าพิมพิสารถวายทานแด่พระพุทธเจ้าแล้วมิได้อุทิศให้ญาติที่ตาย กลางคืนพวกญาติที่ตายมาแสดงตัวเปล่งเสียงน่ากลัวให้ปรากฏใกล้พระราชนิเวศน์ รุ่งเช้าได้เสด็จไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทูลเหตุุให้ทราบ พระเจ้าพิมพิสารจึงถวายทานอีก แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ ญาติที่ตายไปจึงได้รับส่วนกุศล ดังนั้น การทำบุญข้าวประดับดิน คือการทำเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ญาติผู้ตายแล้ว ถือเป็นประเพณีที่ต้องทำเป็นประจำทุกปี

ประวัติบุญข้าวประดับดิน ประเพณีบุญเดือนเก้าของชาวอีสาน

          พิธีกรรมบุญข้าวประดับดิน มีดังนี้

            1. วันแรม 13 ค่ำ เดือน 9 ชาวบ้านจะเตรียมข้าวต้ม ขนม อาหารคาวหวาน หมาก พลู และบุหรี่ไว้ 4 ส่วน ส่วนหนึ่งเลี้ยงดูกันภายในครอบครัว ส่วนที่สองแจกให้ญาติพี่น้อง ส่วนที่สามอุทิศให้ญาติที่ตายไปแล้ว และส่วนที่สี่นำไปถวายพระสงฆ์

            ในส่วนที่สาม ญาติโยมจะห่อข้าวน้อย ซึ่งมีวิธีการห่อคือ ใช้ใบตองห่อขนาดเท่าฝ่ามือ ส่วนความยาวนั้นให้ยาวสุดซีกของใบตอง

            2. วันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 ชาวบ้านจะไปวัดตั้งแต่เวลาตี 4 เพื่อนำสิ่งของที่เตรียมไว้จัดใส่กระทง หรือเย็บเป็นห่อเหมือนข้าวสากไปวางอุทิศส่วนกุศลตามที่ต่าง ๆ ซึ่งการวางแบบนี้ เรียกว่า การวางห่อข้าวน้อย แต่หากเป็นการนำไปวางในวัด จะเรียกว่า การยาย (วางเป็นระยะ ๆ ) ห่อข้าวน้อย ซึ่งเวลานำไปวางจะพากันไปทำอย่างเงียบ ๆ ไม่มีการตีฆ้อง ตีกลองแต่อย่างใด

            3. หลังจากวางเสร็จแล้ว ชาวบ้านจะกลับบ้านเพื่อเตรียมอาหารทำบุญที่วัดอีกทีหนึ่งในตอนเช้า เมื่อพระสงฆ์ฉันเช้าเสร็จก็จะเทศน์ฉลองบุญข้าวประดับดิน ต่อจากนั้น ชาวบ้านจะนำปัจจัยไทยทานถวายแด่พระสงฆ์ เมื่อพระสงฆ์ให้พรเสร็จ ชาวบ้านที่มาทำบุญก็จะกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติผู้ที่ล่วงลับไปแล้วทุก ๆ คน

          สำหรับอาหารคาวหวานที่ใส่ห่อในการทำบุญข้าวประดับดิน อาจมีดังนี้

            1. ข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้วปั้นเป็นก้อนเล็กๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือ 1 ก้อน

            2. เนื้อปลา เนื้อไก่ หมู และใส่ลงไปเล็กน้อย ถือว่าเป็นอาหารคาว

            3. กล้วย น้อยหน่า ฝรั่ง มะละกอ มันแกว อ้อย มะละกอสุก หรือขนมหวานอื่น ๆ ลงไป (ถือเป็นอาหารหวาน)

            4. หมากหนึ่งคำ บุหรี่หนึ่งมวน เมี่ยงหนึ่งคำ

            พอได้เรียนรู้ประเพณีดี ๆ ของภาคอีสาน อย่างประเพณีบุญข้าวประดับดิน บุญเดือนเก้ากันแล้ว ก็เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภาคอีสานคงช่วยกันสานต่อประเพณีบุญข้าวประดับดิน บุญเดือนเก้า ให้รุ่นลูก รุ่นหลานได้มีโอกาสเรียนรู้ประเพณี และวัฒนธรรมดี ๆ แบบนี้ด้วยเช่นกัน

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ทนอย่างเดียว!!!

          ถนนภายในชุมชนนาทรายอ่วม ทั้งมืด ทั้งน้ำท่วมขัง ชาวบ้านร้องเทศบาลแล้วแต่ไม่มีอะไรคืบหน้า ต้องทนอยู่กันไปแบบนี้